เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ พ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะคือสัจจะนะ สัจธรรมที่เราแสวงหา ของอยู่ใกล้ตัวเรา หายใจเข้าและหายใจออก หายใจเพื่อดำรงชีวิต หายใจเพื่อออกซิเจน แต่เวลาหายใจเข้าและหายใจออก ถ้าเรามีสติกำหนดลมหายใจเป็นอานาปานสติ ลมมันพัดของมันอยู่ตลอดเวลา เราไม่ได้ใช้ประโยชน์สิ่งใดมันเลย ถ้าใช้ประโยชน์ ใช้ประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ใช้ประโยชน์ทางธรรมๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เพราะจิตมันเกาะ จิตมันมีการกระทำ ถ้าจิตมีการกระทำ ถ้าจิตมีการกระทำ เป็นอานาปานสติ จิตตัวนี้มีความสำคัญมาก จิตตัวนี้มีความสำคัญมาก

แต่เวลาจิตตัวนี้มีความสำคัญมาก มันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันไว้ พอครอบงำมันไว้ ความรู้สึกนึกคิดเกิดจากจิต ความรู้สึกนึกคิดเกิดจากจิตมันก็แสวงหาของมันไปตามอำนาจของกิเลสไง คนที่กิเลสหนามีแต่ความยึดมั่นถือมั่น มีแต่ความทุกข์ร้อน มีแต่เผาลนหัวใจ คนที่มีความยึดมั่นถือมั่นเบาบางลง ความทุกข์ร้อนอันนั้นมันก็เบาบางลง นกขังในกรงทอง นกเขาขังไว้ในกรงทอง ถ้าปล่อย ถ้ามันเป็นอิสระอยู่ในป่าในเขาของมัน กรงทองโยนมันทิ้งไป กรงทองส่วนกรงทอง กรงทองเขาขังมันไว้

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจเรามันโดนกิเลสมันขังไว้ ขังไว้ในอะไร? ขังไว้ในกาลเวลา ถ้ามันขังไว้ในกาลเวลานะ เรามีสติมีปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา ว่าเราติดในกาลเวลาๆ กาลเวลามัน ๒๔ ชั่วโมงเท่านั้นแหละ คนที่เขาแบ่งเวลาเขาเป็น ชีวิตของเราราบรื่น แต่คนเขาแบ่งเวลาไม่เป็น เขาติดขัดไปหมด เขาติดขัดไปหมด เขามีแต่คำว่า “เวลาไม่พอๆ”

เวลาไม่พอเวลามันก็ ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านเดินจงกรม ๒๔ ชั่วโมง แล้ว ๒๔ ชั่วโมง ๗ วัน ๓ เดือน ปีนึง ท่านเดินของท่านทั้งวันทั้งคืน ท่านเดินของท่านเพราะเหตุใดล่ะ ท่านเดินของท่าน ท่านไม่ติดกับกาลเวลา กาลเวลาเป็นกาลเวลา เวลาอรุณขึ้น เราออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ถ้าเลี้ยงชีพ สิ่งที่เราจะประพฤติปฏิบัติ เราก็อดอาหาร อดอาหารขึ้นมาเพื่อค้นคว้าหาหัวใจของเรา มันจะปลดปล่อยไง ปลดปล่อยจากใจดวงนี้ ปลดปล่อยจากกาลเวลาไง ถ้าปลดปล่อยจากกาลเวลา

เวลาตายไปเกิดเป็นพรหม อายุของพรหมไปเกิดเป็นเทวดา อายุของเทวดาไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ สัตว์อายุมันสั้น อายุมันยืน อยู่ที่อายุในกาลเวลาทั้งนั้นแหละ แต่กาลเวลาของใครล่ะ ถ้ากาลเวลาของใคร เราติดขัดไปหมด แต่ถ้าเราเป็นอิสระ ความเป็นอิสระของเรา หน้าที่การงานก็ทำของเราไป ทำของเราไป

คำว่า “ทำของเราไป” มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นของที่มันมีอยู่ วันคืนมืดค่ำมันก็เป็นวันคืนของมันไป วันเวลาของเราก็เหมือนกัน เวลาของเรา เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เราใช้ชีวิตของเรา มันเป็นเรื่องปกติไง พระที่มีคุณธรรมคือพระที่เป็นพระธรรมดา เป็นพระปกติ ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าใครหรอก แต่ของเรา สิ่งนี้มันไปกดขี่มันเองไง ไปกดขี่หัวใจของเราเอง

สักแต่ว่า เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน ท่านบอกว่ามองให้โลกนี้เป็นสักแต่ว่า ถ้าสักแต่ว่า กาลเวลาก็หมุนของมันไป เราก็เป็นเรื่องของเราไง แต่เราอยู่กับเขา คำว่า “อยู่กับเขา” เราได้ภพชาติมา ภพชาติเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือความรู้สึกนึกคิดของเรา ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คืออารมณ์ความรู้สึก สัญญาอารมณ์ต่างๆ ธาตุ ๔ ธาตุ ๔ ก็ร่างกายของเรา ถ้าร่างกายของเรา จิตใจมันไม่กดทับร่างกาย

คนเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ หมอก็รักษาของเขาไปตามหน้าที่ของเขา แต่หัวใจเราชื่นบาน หัวใจเราสดชื่น ทำสิ่งใดมันเกื้อกูลกัน มันรักษาสิ่งใดมันก็รักษาได้ง่าย สิ่งที่ว่าเป็นเรื่องของธาตุ ๔ ธาตุ ๔ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ คนกินอิ่มนอนอุ่น กินอิ่มนอนอุ่นมันมีแต่ความพอกพูนของกิเลสทั้งนั้นแหละ เราอดนอนผ่อนอาหารไม่ให้ธาตุขันธ์มันทับจิต เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปรักษา ก็รักษาให้ธาตุขันธ์มันทรงตัว ให้มันไม่ชำรุดชราคร่ำคร่า

เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คนหนุ่มคนแน่น ดูสิ เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าพระหนุ่มๆ พระหนุ่มถ้าฉันได้ให้ฉัน ถ้าฉันได้ก็คือร่างกายมันแข็งแรง แต่เวลาฉันไปแล้ว พอฉันไปแล้วมันกดถ่วง เวลาไปนั่งภาวนาสัปหงกโงกง่วง ถ้ามันสัปหงกโงกง่วง อดนอนผ่อนอาหาร เราบำรุงดูแลให้ธาตุไม่ทับขันธ์ ธาตุ ๔ ธาตุ ๔ มันเข้มแข็งของมันก็ทับขันธ์ ทับขันธ์ก็สัปหงกโงกง่วง มันมีผลทั้งนั้นแหละถ้าเรามีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญามันจะเข้าใจ มันจะแยกแยะไง ถ้าแยกแยะขึ้นมา มันภูมิใจไง

เวลาภูมิใจ ดูสิ เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยากกินของมันดีๆ แต่เวลาเราอดอาหารๆ เราผ่อนอาหาร เราภูมิใจ ภูมิใจเพราะจิตใจเรามีคุณธรรม มันมีศีลมีธรรม มันมีศีลมีธรรม มันภูมิใจนะ เราชนะตัวเราเอง เราชนะ ของอยู่ของกินมันก็กินมาตั้งแต่เกิดจนตาย มันก็กินของมันอยู่อย่างนั้นแหละ มันเห็นเมื่อไหร่มันก็อยากเมื่อนั้นแหละ แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เรายับยั้งมันได้ มันภูมิใจ มันภูมิใจ มันมีสติ นี่ไง ผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันสมควรแก่ธรรม ธรรมะมันเจริญงอกงาม ศีลธรรมในหัวใจมันงอกงาม ถ้าศีลธรรมในหัวใจมันงอกงาม มันมีความภูมิใจ มันอยู่ที่ไหนมันก็สุขสบาย

ถ้ามันจะอยากกินอิ่มนอนอุ่น ก็นกในกรงทองไง เช้าขึ้นมาเขาก็มาหยอดอาหารให้ เติมน้ำให้ด้วยนะ เติมอาหารให้ เติมน้ำให้ อ้าว! กินนะ อยู่สุขสบายนะ แต่หัวใจมันโดนขังไว้อย่างนั้นแหละ แต่ถ้ามันเป็นอิสระ มันอยู่ในป่าในเขา มันต้องหาผลไม้ มันต้องแสวงหาเอง มันจะรู้ของมัน สิ่งใดมันจะมีอาหารตกถึงท้องมันหรือไม่ เราแสวงหาของเรา

นี่ก็เหมือนกัน มันสบายใจ มันปลอดโปร่ง มันโล่งโถง มันสบายใจ ถ้ามันสบายใจ สิ่งที่เราเป็นอิสระ ถ้าอิสระ อิสระทางวัตถุก็เรื่องหนึ่ง อิสระทางหัวใจ ถ้าอิสระทางหัวใจนี้สำคัญมาก ถ้าสำคัญมากเพราะอะไร เพราะมีอิสระ อิสระ ไม่ใช่ว่าคนแปลกประหลาด ไม่ใช่คนขวางโลก ไอ้คนขวางโลกนั่นไม่ใช่อิสระ พอความอิสระของเขา เขาเป็นอิสระ เขาอยู่กับโลกได้ เขาอยู่กับโลกได้ แต่ในจิตใจของเรา เห็นไหม

ครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ถ้าเวลาหมู่คณะ คำว่า “เป็นหมู่คณะ” พอเรารวมกันเป็นสังคม สังคม ท่านก็ถือสังคมเป็นใหญ่ คือว่าหมู่คณะมีความเห็นอย่างไร เราก็เห็นตามเขาไป แต่ของเรา เราไม่ติด แต่ถ้าคนจิตใจมันไม่เป็นอิสระ มันพยายามจะชักนำโน้มน้าว มันเป็นความทุกข์มากนะ มันพยายามจะโน้มน้าวชักนำให้เป็นความเป็นของตัว แต่ของเราถ้าสังคมมันเป็นไป สังคมถ้าเป็นสัมมาทิฏฐินะ ความเห็นถูกต้องดีงามนะ

ถ้าสังคมที่เขาไม่ถูกต้องดีงาม ดูสิ พระสารีบุตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปปราบชาววัชชี เป็นสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตร พระสารีบุตรบอก อู้ฮู! มันนักเลงทั้งนั้นเลย ไม่ไหว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เอาหมู่คณะไป แล้วไปทำพรหมทัณฑ์ไล่ออกไปให้หมด ไล่ออกไปให้ออกไปจากหมู่บ้านนั้น ให้ออกไปจากสังคมนั้น

เวลาไปลงอุโบสถสังฆกรรม ถ้าเขามีความเห็นผิดของเขา เราค้านไว้ในใจๆ คือเราไม่เห็นด้วย สังคมที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ สังคมที่ไม่ดีงาม เราไม่เห็นด้วย แต่เราอยู่ในสังคมนั้นไง เพราะกติกามันเป็นนิติศาสตร์ เป็นกฎหมาย ถ้าการปกครองเป็นรัฐศาสตร์ ธรรมและวินัย ธรรมมันสูงส่งกว่าไง ธรรมมันกว้างขวางกว่าไง ถ้าคนมีคุณธรรม เรามีหลักเกณฑ์ด้วย เรามีจุดยืนด้วย แล้วเราไม่เป็นปัญหาของใครเลย ใครจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา แต่ถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิ เราเห็นดีงามไปหมดแหละ

แต่เป็นมิจฉา เป็นมิจฉา เราค้านไว้ในใจ เราค้านไว้เลย เราค้านไว้ในใจว่า สังฆกรรมนี้ถ้ามันมีเวรมีกรรมขึ้นมา สภาคกรรม เครื่องบินตกทีหนึ่งทั้งลำเลย มันทำอะไรมา มาตายพร้อมกัน มันทำสิ่งใดมา มาคนละทิศละทาง มาจากรอบโลกเลย มาขึ้นเครื่องบินเดียวกันแล้วก็มาตกทีเดียว ตุ้บ! เรียบร้อยทั้งลำ สภาคกรรมร่วมกันๆ ถ้าเราไม่ทำร่วมกัน เราไม่ถือร่วมกัน เราค้านไว้ในใจ สภาคกรรมอย่างนี้เราไม่ทำ

แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น นี่พูดถึงว่าถ้าพระเขาไม่ขวางโลก ขวางโลก แต่เขามีจุดยืนของเขา พอมีจุดยืนของเขา ถ้าจิตใจที่เป็นอิสระเป็นอิสระอย่างนี้ ถ้าอิสระ อิสรภาพในหัวใจ ถ้าอิสรภาพมันจะมีขึ้นมาได้มันต้องเห็น เห็นว่ามันไปติดขัดตรงไหน สิ่งใดที่มันร้อยรัดหัวใจนี้ไว้ สังโยชน์ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

นี่เกิดมานะ เกิดทิฏฐิมานะ เกิดความเห็นของตัวขึ้นมา มันมีทิฏฐิมานะไปทั้งนั้นแหละ สังโยชน์ สังโยชน์ ๑๐ มันร้อยรัดไว้ จะรู้หรือไม่รู้ มานะ ต่ำกว่า เขาสำคัญว่าต่ำกว่าเขา เสมอเขา สำคัญว่าเสมอเขา สูงกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา

ต่ำกว่า เสมอ หรือสูงกว่า ไม่สำคัญตน ไม่สำคัญ เราเป็นเรา สิ่งที่เราเป็นเรา เขาก็เป็นเขา ความทุกข์เป็นทุกข์ในหัวใจทั้งนั้นแหละ ถ้ามันทำหัวใจมันปลดไปแล้ว มันเป็นอิสรภาพไปแล้ว มันมีสิ่งใดไปค้างในหัวใจล่ะ มันอยู่สุขอยู่สบาย แหม! มีแต่ความร่มรื่น มีแต่ความสุขทั้งนั้นแหละ ไปอยู่ไหนก็อยู่ได้ พระที่ท่านมีคุณธรรม ท่านเป็นพระธรรมดา เป็นธรรมดา ไม่มีอะไรสูงส่งไปกว่าใครทั้งสิ้น แต่เวลาหมู่คณะที่อยู่ด้วยกัน หลวงตาท่านเทศน์ประจำ เวลาหลวงปู่มั่นท่านไม่เคยประกาศว่าท่านเป็นอะไรเลย หลวงปู่มั่น ทำไมพระทั้งหมดเชื่อ พระทั้งหมดเชื่อ แล้วสังคมก็เชื่อ เชื่อว่าหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ๆ แล้วท่านทำของท่าน หลวงตาท่านชมประจำนะ ถ้าพูดถึงทางโลก ท่านเป็นผ้าขี้ริ้วเลย อยู่ในป่าในเขาไม่มีค่าอะไรเลย เหมือนผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง ผ้าขี้ริ้วมันมีค่าที่ไหน เขาเอาไว้เช็ดถูทำความสะอาด ถ้าเป็นทางโลกนะ เพราะท่านทำตัวท่านไม่มีค่าอะไรเลย แต่เวลาพูดถึงทางธรรม สูงส่ง สูงส่ง

ท่านบอกอยู่ภาคเหนือ ตั้งแต่ ๔ ทุ่มขึ้นไป เทวดามาฟังเทศน์แล้ว ไม่มีเวลาว่างเว้นเลยที่ภาคเหนือ เวลาทางภาคอีสาน เทวดามาน้อยลงหน่อย เทวดาจะมาส่วนใหญ่แล้วจะมาวันที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เทวดามามากมาน้อยต่างๆ เวลาทางโลกท่านเหมือนเศษผ้าเลย ผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง แต่เวลาทางธรรม เทวดา อินทร์ พรหมยังมาฟังเทศน์ แล้วทุกคนก็แปลกว่าพระในเมืองไทย ๔-๕ แสน ทำไมไม่มีเทวดาองค์ใดไปฟังเทศน์พระองค์ไหนเลย แล้วรู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่มั่นอยู่ในป่า แล้วรู้ได้อย่างไรล่ะ

อ้าว! ก็ใจมันสว่างไสวไง ใจมันผ่องแผ้วไง ใจมันเหนือโลก มันมีอิสรภาพ มันไม่ติดขัดสิ่งใด เขารู้เขาเห็นของเขา เทวดาเขารู้ของเขา นี่พูดถึงความสูงส่งไง ถ้าความสูงส่ง ใครรู้ ในความรู้สึกของคน ใครรู้ด้วย ความลับไม่มีในโลกนะ หัวใจรู้ ความอึดอัดขัดข้องในหัวใจเรานี่รู้ แต่ถ้าวันไหนเราปลดเปลื้องมันออก กิจจญาณ สัจจญาณ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล หัวใจดวงใดยังทำความสงบของใจตัวเองไม่ได้ ถ้าทำความสงบของใจตัวเองไม่ได้ ใจของตัวเองไม่มีสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ภพชาติของคน คนเราเกิดมาเรายังมีสัญชาติ เรายังมีเครื่องหมายบอกว่าเราสัญชาติใด แต่คนที่จะประพฤติปฏิบัติยังไม่รู้จักใจของตัว ยังไม่รู้จักพุทธะ ยังไม่รู้จักสัมมาสมาธิ มันจะเกิดการกระทำที่ไหน ถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นมิจฉาก็เป็นฤๅษีชีไพร เขาทำสมาธิได้ แต่เขาไม่มีปัญญา เขาก็เป็นฤๅษีชีไพร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดอานาปานสติ กำหนดลมหายใจแล้ว จิตสงบแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อันนี้คือความเป็นไปของโลกของวัฏฏะที่รู้การเกิดและการตาย แต่อาสวักขยญาณ ปัญญาอันนั้นที่ชำระล้างกิเลส มันมีกิจจญาณ สัจจญาณ มีการกระทำไง ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผลไง

ฉะนั้น จิตที่มันจะผ่องแผ้ว มันจะหลุดพ้นจากความเป็นอิสระได้ พอจิตมันสงบแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันเห็นสัจจะความจริง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ปฏิฆะ กามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา สังโยชน์ทั้งหลาย มันได้ทำลาย ทำลายล้าง มันสำรอกมันคายของมันออก ความเป็นอิสรภาพมันเกิดตรงนี้ไง ถ้าเป็นอิสรภาพเกิดตรงนี้ เราเป็นชาวพุทธ เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อหัวใจของเราไง เราจะประพฤติปฏิบัติไม่ได้ แต่สัจจะ สาระความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ไง ถ้าสาระความเป็นจริง ความเป็นจริงอย่างนี้ สิ่งที่พิสูจน์ได้คือความรู้สึกของเราไง จิตของเรานี่แหละ พอมีความรู้สึก มันจะพิสูจน์ได้ไง ผู้ที่รู้ที่เห็นมันจะพิสูจน์ได้ไง เราเป็นคนกระทำ เราเป็นคนค้นคว้า เราจะพิสูจน์ในความเป็นจริงของเราไง เราจะให้จิตใจของเราเป็นอิสรภาพไง ไม่ใช่นกขังอยู่ในกรงทอง ร่ำรวย มีศักยภาพมหาศาล อู๋ย! มันโดนขังอยู่ มนุษย์โดนขังด้วยกาลเวลา มนุษย์โดนขังด้วยสังโยชน์ มนุษย์โดนขังด้วยกิเลส เราจะทำของเรา ทำประโยชน์กับเรา ให้หัวใจนั้นเป็นอิสรภาพ เอวัง